ข่าวเผยแพร่

สมาชิกในประเทศไทยเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี

นี่คือการเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ที่ศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายอยู่ในประเทศไทยเพื่อการสอนพระกิตติคุณ  เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2016 ณ อาคารประชุมแจ้งวัฒนะ ประเทศไทย ได้จัดให้มีไฟร์ไซด์เพื่อระลึกถึง “ผู้บุกเบิกที่นำพระกิตติคุณมาสู่ประเทศไทย” ซึ่งมีผู้เข้ารับชมอย่างแน่นขนัด               

                 

เมื่อห้าสิบกว่าปีก่อน ทหารอเมริกันที่ประจำการในประเทศไทยได้จัดตั้งสาขาเล็กๆ ขึ้นเพื่อนมัสการด้วยกันในวันอาทิตย์  เนื่องจากจำนวนของทหารที่ประจำการในประเทศไทยมีจำนวนมาก จึงได้มีการจัดตั้งท้องถิ่นขึ้นเพื่อให้ครอบคลุมความต้องการของคนกลุ่มนี้  ในปี 1966 เอ็ลเดอร์กอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์อุทิศประเทศไทยอย่างเป็นทางการเพื่อการสั่งสอนพระกิตติคุณและสองปีต่อมา ศาสนจักรได้ส่งผู้สอนศาสนาหกคนเข้าสู่ประเทศไทยเพื่อเริ่มงานดังกล่าว  สองคนในหกคนแรกนั้นคือเอ็ลเดอร์อลัน เฮสส์ และเอ็ลเดอร์แลร์รีย์ ไวท์ อยู่ในไฟร์ไซด์ครั้งนี้ด้วย ทั้งสองท่านได้เล่าประสบการณ์การสอนทั้งที่รู้ภาษาไทยเพียงเล็กน้อยและไม่มีพระคัมภีร์มอรมอนฉบับแปลเป็นไทยให้ที่ประชุมฟัง การประชุมโดยใช้ภาษาไทยที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกมีผู้เข้าร่วมประชุมคือ สมาชิกชาวไทยหนึ่งคน เอ็ลเดอร์ชาวอเมริกันหกคน และผู้สนใจหกคน สมาชิกชาวไทยคนนั้นคือ อนันต์ เอลเดริดจ์ ได้พูดถึงช่วงแรกๆ ของท่านในศาสนจักร ท่านเป็นผู้ที่มีคุณค่าอย่างยิ่งต่อการสอนพระกิตติคุณและหนึ่งปีต่อมาได้สมัครเป็นผู้สอนศาสนาชาวไทยคนแรกในประเทศไทย ท่านได้แบ่งปันประจักษ์พยานเกี่ยวกับการแสวงหาพระกิตติคุณและการร่วมงานกับผู้สอนศาสนาชุดแรกได้อย่างซาบซึ้งใจยิ่ง  เดือนกรกฎาคม 1968 เอ็ลเดอร์ไวท์และคู่ผู้สอนศาสนาของท่านให้บัพติศมา ศรีลักษณา สุนทรหุต ผู้เป็นเครื่องมืออันล้ำเลิศในการช่วยแปลพระคัมภีร์มอรมอนเป็นภาษาไทย  เอ็ลเดอร์เฮสส์และเอ็ลเดอร์ไวท์เล่าเรื่องราวอันน่าพิศวงของการสอนโดยไม่มี “กระเป๋าเงินหรือกระเป๋าสัมภาระ” (คพ. 84:78) และการได้เห็นงานของพระเจ้าที่ออกไปสู่คนไทยทีละคน                                  

 

จากซ้ายไปขวาเอ็ลเดอร์อลัน เฮสส์, ซิสเดตอร์เอลดริดจ์,เอ็ลเดอร์อนันต์ เอลดริดจ์ และประธานแลร์รีย์ ไวท์

เอ็ลเดอร์เรย์มอนด์ บราวน์พูดถึงการเป็นผู้สอนศาสนาคนสุดท้ายที่ได้รับเรียกก่อนที่ประเทศไทยจะเปลี่ยนเป็นคณะเผยแผ่อย่างเป็นทางการ  ท่านเล่าถึงการที่ทหารอเมริกันแอลดีเอสที่ประจำการในประเทศไทยได้มอบโบนัสในช่วงสงครามแก่ศาสนจักรเพื่อสร้างอาคารนมัสการในประเทศไทย เช่นเดียวกับผู้บุกเบิกชาวมอรมอนที่เดินทางข้ามทุ่งราบและทำไร่นาไว้เพื่อให้ผู้ที่ติดตามมาภายหลังได้เก็บเกี่ยว ทหารอเมริกันกลุ่มนี้ได้ทำไร่นาไว้ในประเทศไทยซึ่งคนอื่นๆ ที่ตามมาจะได้เก็บเกี่ยวเช่นกัน

ประธานคาร์ล ดอดจ์ ซึ่งเป็นผู้สอนศาสนาเมื่อ 40 ปีก่อนและต่อมาได้เป็นประธานคณะเผยแผ่ในประเทศไทย กล่าวว่า การเป็นสมาชิกในประเทศไทยไม่ใช่เรื่องง่าย  ท่านบอกสมาชิกว่าเป็นสิ่งอัศจรรย์ในชีวิตของแต่ละคนที่ได้เป็นสมาชิกของศาสนจักรและขอบคุณทุกคนที่ช่วยดูแลเอาใจใส่ผู้สอนศาสนา  ไมเคิล กูดแมนเป็นอดีตผู้สอนศาสนาอีกท่านหนึ่งที่ได้รับเรียกให้กลับมาเป็นประธานคณะเผยแผ่ประเทศไทยในวัย 35 ปี ท่านเล่าเรื่องราวของท่านและกล่าวว่า “ผมรู้ว่าผมทำเองไม่ได้ แต่นี่ไม่ใช่งานของผม นี่คืองานของพระเจ้า  ขณะผมรับใช้พระองค์ ผมเห็นสิ่งอัศจรรย์มากมายที่นี้ขณะพระเจ้าทรงทำงานของพระองค์  ไม่มีปัญหาใดจะใหญ่เกินไปสำหรับพระเจ้า”

แซนดรา มาร์เทลล์ เป็นหนี่งในสองผู้สอนศาสนหญิงคู่แรกที่รับใช้ในประเทศไทย  เธอพูดถึงสิ่งอัศจรรย์ของการเข้าเป็นสมาชิกในศาสนจักรที่สอนโดยคนหนุ่มสาวอายุระหว่าง  19-24 ปี ที่พูดภาษาในท้องที่ได้น้อยมากซ้ำยังไม่มีพระคัมภีร์มอรมอนให้อ่าน แต่ต้องการให้ท่านมีประจักษ์พยานในพระคัมภีร์นั้น เธอกล่าวว่า “ผู้สนใจชาวไทยได้รับการสอนโดยพระวิญญาณอย่างแท้จริง” ขณะนี้เธอรับใช้เป็นผู้สอนศาสนาสูงอายุผู้บำเพ็ญประโยชน์ด้านการแพทย์ในประเทศไทย

ไมเคิล สมิธผู้สอนศาสนาในยุคแรกๆ อีกคนหนึ่งซึ่งเป็นคู่ผู้สอนศาสนาของอนันต์ เอลดริดจ์ได้เล่าถึงพรมากมายที่ได้รับ จากการสอนกับคู่ที่พูดภาษาไทยเป็นภาษาประจำชาติ สี่สิบปีต่อมาท่านกลับมาเป็นประธานคณะเผยแผ่และมีหลานของเอ็ลเดอร์เอลดริดจ์สองคนในคณะเผยแผ่ของท่าน ในช่วงเวลาที่ท่านเป็นประธานคณะเผยแผ่ ท่านไปประเทศเมียนมาร์กับเอ็ลเดอร์กองเพื่ออุทิศแผ่นดินนั้นสำหรับการสั่งสอนพระกิตติคุณ ขณะท่านอ่านคำสวดอุทิศไปถึงตอนหนึ่ง ท่านเล่าว่าคำสวดนั้นเป็นพรแก่แผ่นดินประเทศไทยอีกครั้งหนึ่งอย่างไรที่จะทำให้งานรุดหน้าต่อไป และไม่นานหลังจากนั้นอุปสรรคต่างๆ ที่มีอยู่ก็หายไปและความเจริญเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมาก

ประธานเคลลีย์ จอห์นสันผู้เคยเป็นผู้สอนศาสนาในประเทศไทย และเป็นประธานคณะเผยแผ่ประเทศไทยคนปัจจุบันได้เป็นผู้พูดปิดท้ายของการประชุมนี้โดยการเล่าเกี่ยวกับความเข้มแข็งของพระกิตติคุณในประเทศนี้ในปัจจุบันและเล่าว่าผู้คนต้องการการศึกษาพระกิตติคุณอย่างลึกซึ้งเพื่อแบ่งปันอย่างไร และต้องเตรียมตัวสำหรับการเป็นประเทศที่พร้อมจะมีพระวิหารอย่างไร 

นาริสสา อึ้งรังสีและคุณแม่แมรีย์ เจน ได้ถ่ายทอดความรู้สึกผ่านการขับร้องเพลง “รุ่งโรจน์ (Glorious)” อย่างไพเราะ ทุกคนต่างซาบซึ้งใจกับความรู้อันรุ่งโรจน์ว่าพระเจ้าทรงทำงานอันยิ่งใหญ่ของพระองค์อยู่ในประเทศไทยซึ่งทุกคนต่างเห็นประจักษ์ถึงงานอัศจรรย์ด้วยตาตนเอง และรู่ว่าพวกเขาคือผู้คนที่ได้รับเลือกให้นำข่าวประเสริฐไปแบ่งปันให้กับผู้คนอื่นๆ อีกหลายล้านคนในราชอาณาจักรไทยอันประเสริฐนี้

              

วีดิทัศน์ต่อไปเป็นการนำเสนอการแสดงความปีติยินดีกับความก้าวหน้าของศาสนจักรในภูมิภาคนี้ของเอ็ลเดอร์คณาคำ สาวกเจ็ดสิบภาค เอ็ลเดอร์กอง ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่สาวกเจ็ดสิบและเอ็ลเดอร์สตีเวนสันแห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองรวมถึงความคิดความหวังของพวกท่านสำหรับอนาคตด้วย จากนั้นที่ประชุมขับร้องเพลงสวดปิดในเพลง ขอพระเจ้าอยู่ด้วยจนเจอกันอีก  ทุกดวงใจต่างปลาบปลื้มและหลั่งน้ำตาออกมาโดยไม่ได้กลั้นไว้

ทุกดวงใจรู้สึกได้ถึงประจักษ์พยานว่างานของพระเจ้าเป็นส่วนสำคัญยิ่งในชีวิตและต้องนำไปแบ่งปันกับผู้อื่น ขณะหลั่งน้ำตาหลายคนต่างสวมกอดกันเพื่อบอกเล่าถึงความคุ้นเคยก่อนเก่าที่กลับมาอีกครั้ง ความรู้สึกถึงพลังเต็มเปี่ยมขณะสมาชิกตระหนักถึงส่วนของตนในความเจริญก้าวหน้าของศาสนจักรและความจำเป็นที่สมาชิกจะทำงานหนักขึ้นเพื่อบอกให้โลกรู้ถึงความงดงามของพระกิตติคุณและงานของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกนี

            
          

หมายเหตุแนวทางการเขียน:เมื่อรายงานเกี่ยวกับศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย โปรดใช้ชื่อเต็มของศาสนจักรในการอ้างถึงครั้งแรก ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้ชื่อของศาสนจักร ไปที่ออนไลน์แนวทางการเขียน.