ข่าวเผยแพร่

ชีวิตหลังการรับใช้เป็นผู้สอนศาสนาในประเทศไทย - ดร. สก็อตต์ แฮนเซ็น

ศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย (แอลดีเอส) อยู่ในประเทศไทยมานานกว่า 50 ปีและมีผู้สอนศาสนามากกว่า 4,000 คนจากหลายประเทศและจากหลายวิถีชีวิตมีโอกาสรับใช้ในประเทศนี้ ประสบการณ์ในประเทศไทยส่งผลกระทบต่อชีวิตของพวกเขาอย่างไรบ้าง พวกเขาได้พยายามแสวงหาวิธีใดบ้างที่จะติดต่อกับประเทศไทยและชาวไทยหลังงานสอนศาสนาของพวกเขาในประเทศนี้ ในเรื่องราวต่อเนื่องชุดนี้ เราจะพิมพ์เผยแพร่บทความที่เกี่ยวกับอดีตผู้สอนศาสนา จุดเด่นในชีวิตของพวกเขาและการรับใช้ต่อเนื่องที่พวกเขาให้

ดร. สก็อตต์ แฮนเซ็นเป็นอดีตผู้สอนศาสนาที่รับใช้คณะเผยแผ่ของท่านในประเทศไทยจากปี 1969 ถึงปี 1971 ท่านกล่าวว่า “เมื่อเอ็ลเดอร์กอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์อุทิศประเทศไทยสำหรับงานเผยแผ่ศาสนา ความสว่าง ความศักดิ์สิทธิ์ ความจริงนิรันดร์และพรแห่งพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์เริ่มหลั่งไหลเข้าสู่ดินแดนแห่งนี้ เนื่องจากสงครามเวียดนาม ได้มีการเปิดฐานทัพอากาศสหรัฐขึ้นในประเทศไทยและสมาชิกที่เป็นทหารสหรัฐเริ่มแบ่งปันพระกิตติคุณ เรื่องนี้มีส่วนในการเตรียมการเริ่มต้นงานสอนศาสนาอย่างเป็นทางการในประเทศไทย”

“หลายสิ่งที่ข้าพเจ้าเรียนรู้จากงานสอนศาสนามีส่วนช่วยต่อๆ มาทั้งในด้านอาชีพการงาน ครอบครัวและด้านอื่นๆ ข้าพเจ้าเรียนรู้ที่จะเป็นผู้เริ่มต้นด้วยตนเอง และจัดการกับงานมอบหมายที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ โดยรู้ว่างานเหล่านั้นจะสำเร็จได้ก็โดยความช่วยเหลือของพระวิญญาณเท่านั้น” ท่านกล่าวต่อไปว่า “งานสอนศาสนาสอนให้ข้าพเจ้ามีระเบียบและใช้เวลาอย่างสร้างสรรค์มากขึ้น รู้จักตั้งเป้าหมายและทำงานหนักเพื่อให้งานเหล่านั้นสำเร็จ ข้าพเจ้าดำเนินชีวิตอย่างมีคุณภาพอยู่เสมอ”

หนึ่งเดือนหลังออกจากประเทศไทยกลับบ้าน ท่านพบกับภรรยาในอนาคต ซูซีและสอบเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนแพทย์ของมหาวิทยาลัยยูทาห์ได้ ทั้งสองเป็นบิดามารดาของลูกๆ สี่คนและได้รับพรด้วยหลานสิบคน

    
      

ท่านเล่าว่า “ช่วงที่ข้าพเจ้าทำงานเป็นแพทย์ประจำห้องฉุกเฉินเป็นช่วงเวลาที่มีผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชาและชาวไทยมากมายอพยพมาที่ซอลท์เลค ซิตี เป็นประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่มากที่สามารถพูดกับผู้ลี้ภัยชาวไทยด้วยภาษาของพวกเขาเองได้ พวกเขาประหลาดใจเสมอและมันช่วยให้พวกเขารู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นในสภาพแวดล้อมที่แปลกใหม่”

ดร. แฮนเซ็นและภรรยาได้รับเรียกให้รับใช้เป็นประธานคณะเผยแผ่ของคณะเผยแผ่กรุงเทพประเทศไทยตั้งแต่ปี 2003 ถึงปี 2006 “เราประหลาดใจกับการเจริญเติบโตของกรุงเทพและจำนวนผู้สอนศาสนา เราได้รับการต้อนรับจากผู้สอนศาสนาหนุ่มสาวจำนวน 180 คน ผู้สอนศาสนาอาวุโสคู่สามีภรรยาเจ็ดคู่และจำนวนสมาชิกภาพของศาสนจักรหลายพันคน” ท่านเล่าเรื่องต่อไปนี้ด้วยความเศร้า “ภัยพิบัติสึนามิโถมเข้าทำลายภาคใต้ของประเทศไทยเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2004 มีการบริจาคเงินพิเศษจากสมาชิกทั่วโลก สิ่งจำเป็นเร่งด่วนที่สุดในขณะนั้นคือการสั่งซื้อถุงบรรจุศพ 10,000 ใบ ตามด้วยส่วนประกอบสำคัญในการจัดทำชุดสุขอนามัยอีกหลายพันชุดซึ่งจัดเป็นชุดๆ โดยสมาชิกและผู้สอนศาสนา มีการรวบรวมเสื้อผ้าและเครื่องนอนเป็นพิเศษ รวมทั้งน้ำ ข้าว เครื่องครัวและภาชนะต่างๆ สิ่งเหล่านี้จัดเป็นชุดๆ โดยสมาชิกและผู้สอนศาสนานำขึ้นรถโดยสารที่เช่ามาแล้วมุ่งหน้าสู่ภาคใต้ ครอบครัวมากมายอาศัยอยู่ในเต็นท์ในเมือง (มีผู้บริจาค) ที่อยู่กันอย่างหนาแน่นเรียงรายกันไปจนสุดสายตา ความต้องการระบายออกกับใครสักคนถึงภัยพิบัติที่เกิดขึ้นกดดันพวกเขามากกว่าความหิวโหย สมาชิกและผู้สอนศาสนาอย่างน้อยหนึ่งคนเข้าเยี่ยมเต็นท์ทุกเต็นท์เพื่อรับฟังพวกเขาโดยปล่อยให้พูดไปตามต้องการ”

“หลังจัดหาการบรรเทาทุกเร่งด่วน ศาสนจักรประสานงานกับหน่วยงานการกุศลอื่นๆ ช่วยกันดำเนินการบรรเทาทุกระยะยาวกันอย่างต่อเนื่อง การจัดสร้างหมู่บ้านชาวประมงขึ้นใหม่ การจัดหาเรือประมงใหม่ 70 ลำ การจัดสร้างห้องสมุด บ้าน ศูนย์การแพทย์ ขึ้นใหม่ และการหาวิธีที่จะจัดหาน้ำสะอาดและบ่อน้ำใหม่ – ขณะที่แหล่งน้ำแห่งเดียวที่มีเกิดการปนเปื้อนเสียแล้ว”

“ผู้สอนศาสนาที่มีทักษะด้านภาษาอังกฤษดีพอ ช่วยแปลระหว่างผู้ประสบภัยและคณะแพทย์ในโรงพยาบาลที่กรุงเทพ คนอื่นๆ ช่วยแปลที่สนามบิน เพื่อช่วยให้ผู้ประสบภัยที่รอดชีวิตแต่ไม่มีหนังสือเดินทาง เงินหรือเอกสารระบุตัวตนได้รับตั๋วเครื่องบินกลับบ้าน”

“หลังงานเผยแผ่รอบที่สองและเดินทางกลับบ้านในปี 2006 ประธานแฮนเซ็นเล่าว่าท่านได้รับการร้องขอจากอดีตผู้สอนศาสนาจำนวนมากให้ช่วยเขียนจดหมายแนะนำตัว “เป็นเวลาหลายปี เราเขียนจดหมายด้วยถ้อยคำชมเชยและสนับสนุนหลายฉบับ หลายฉบับทำให้ผู้สอนศาสนาชาวไทยสำหรับการศึกษาต่อที่บีวายยู ฮาวาย และอีกหลายฉบับใช้กับบัณฑิตวิทยาลัย และโรงเรียนนายร้อย ฯลฯ”

เมื่อเอกอัครราชทูตไทยมาสหรัฐ ดร. แฮนเซ็นและซูซีได้รับเชิญให้ร่วมกิจกรรมในการเป็นเจ้าบ้านต้อนรับเอกอัครราชทูตโดยศาสนจักร เรื่องนี้ช่วยเสริมสร้างมิตรภาพกับเจ้าหน้าที่จากรัฐบาลไทยที่เดินทางมาซอลท์เลค ซิตี ยูทาห์เพื่อเยี่ยมชมสำนักงานใหญ่ของศาสนจักรและเรียนรู้เกี่ยวกับโปรแกรมต่างๆ ของศาสนจักร มิตรภาพนี้นำไปสู่การเชื้อเชิญดร. แฮนเซ็นให้เป็นตัวแทนรัฐบาลไทยอย่างเป็นทางการในยูทาห์

               

ในปี 2008 ดร. แฮนเซ็นได้รับการแต่งตั้งเป็นกงสุลกิตติมศักดิ์สำหรับสถานกงสุลไทยและดำรงตำแหน่งนี้มาอย่างต่อเนื่อง ในฐานกงสุลกิตติมศักดิ์ท่านทำสิ่งต่อไปนี้:

  1. ออกการตรวจลงตราเข้าประเทศให้ผู้เดินทางที่ไม่ใช่ชาวไทย
  2. เป็นเจ้าบ้านต้อนรับและดูแลสนับสนุนเจ้าหน้าที่จากรัฐบาลไทยเมื่อมาเยี่ยมรัฐยูทาห์
  3. ช่วยเหลือในการต้อนรับอย่างเป็นทางการของศาสนจักรต่อเอกอัครราชทูตไทยที่มาเยี่ยมชมรัฐยูทาห์ บีวายยูและการปฏิบัติงานของศาสนจักร จนถึงปัจจุบันท่านได้เป็นเจ้าบ้านต้อนรับเอกอัครราชทูตมาสี่ท่านแล้ว
  4. สนับสนุนการเสด็จเยือนและจัดสถานที่ประทับแรมถวายสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารีที่ เดียร์ วิลเลจในปี 2016
  5. พบปะกับชุมชนชาวไทยในรัฐยูทาห์ – สโมสรชาวไทยจากมหาวิทยาลัยและชุมชนชาวไทยพุทธ

หลังการรับใช้เป็นประธานคณะเผยแผ่ในประเทศไทย ดร.แฮนเซ็นกลับไปประกอบอาชีพแพทย์อีกครั้ง ปัจจุบันท่านดำรงตำแหน่งแพทย์ผู้อำนวยการของ Health and Promotion and Wellness at Intermountain Healthcare ท่านเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้าน อายุรเวช เวชศาสตร์การกีฬาและเวชศาสตร์ฉุกเฉิน การทำงานของท่านรวมถึงการดูแลคณะวิชาชีพด้านสุขภาพที่มุ่งเน้นไปที่การจัดให้มีการบริการด้านการแพทย์ตามรูปแบบการดำเนินชีวิตแก่ผู้ป่วยที่ Intermountain LiVe Well Centers ในซอลท์เลค ซิตี และพาร์ค ซิตี รัฐยูทาห์ด้วย

หมายเหตุแนวทางการเขียน:เมื่อรายงานเกี่ยวกับศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย โปรดใช้ชื่อเต็มของศาสนจักรในการอ้างถึงครั้งแรก ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้ชื่อของศาสนจักร ไปที่ออนไลน์แนวทางการเขียน.